กริชปัตตานี ที่ผลิตในปัตตานีนั้น มักทำฝักด้วยไม้ บางครั้งจะเรียกว่า กริชปกากะหรือ กริชปกากา เพราะด้ามจะคล้ายหัวนก พังกะ ตากริชจะยาวกว่ากริชอื่น ที่มีขนาดเดียวกัน ส่วนประกอบจะมีด้วยกัน 3 ส่วน คือ ด้ามหรือหัว (ฮูลู) ใบหรือตา (มาตา) และฝัก (ซารง) กริชจะมีหลายแบบหลากหลายชนิด มีแบบใบคดและไม่คด มีคดน้อยจนถึงหลายๆคด และมีความยาวไม่เท่ากัน ด้ามของกริชสามารถหมุนได้ กริชปัตตานีเดิมจะดูได้จากกริชที่มีกระดูกสันหลัง
กริชยังเป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงสถานะผู้ครอบครองได้ 3 สถานะว่า 1.แสดงฐานะทางสังคม 2.บ่งบอกว่าเป็นคนมีฐานะ 3.บอกถึงยศฐาบันดาศักดิ์ บางแห่งว่า รอยคดของกริชจะบ่งบอกถึงว่าผู้ที่ครบครองกริชเล่มนั้นมียศฐาบันดาศักดิ์สูงแค่ไหน แต่กริชปัตตานีไม่ได้มีความเชื่อเช่นนั้น
กริชแต่ละเล่มในสมัยก่อนจะใช้เวลาทำเป็นปีๆ เนื่องด้วยกริชแต่ละเล่มจะทำขึ้นเพื่อเจ้าของที่มาสั่งทำเท่านั้น จะต้องดู วัน เดือน ปีเกิด ของคนสั่งทำ และจะต้องมี 3 ป ที่เกี่ยวกับการทำกริช คือ ปากู ปาจ๊ะ ปายง เพราะกริชแต่ละด้ามในสมัยก่อนจะมีจิตวิญญาณของผู้ที่ทำลงไปด้วย ในปัจจุบันไม่มีการใช้จิตวิญญาณแล้วด้วยหลักของศาสนาจึงไม่สามารถทำได้ กริชในปัจจุบันจึงเป็นแค่กริชที่ทำมาเพื่อประดับเท่านั้น กริชยังมีความเชื่อในเรื่องการพกไปค้าขายจะส่งเสริมให้ขายของดี หรือพกเพื่อเป็นเครื่องปกป้องภัย เวลามีฟ้าฝนสามารถปัดเป่าให้เบาลงได้
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่อาจารย์เล่าว่า “เคยมีเจ้าเมืองอยากได้กริชสักเล่มเป็นกริชไว้แทงคนจึงไปสั่งช่างทำกริชว่าอยากได้กริชแทงคน ช่างก็ได้ทำมาให้เจ้าเมือง แต่ช่างได้ทำด้ามของกริชเป็นแค่ไม้ไผ่งอสวมไว้ ทำให้เจ้าเมืองไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงโยนกริชเล่มนั้นลงไปในสระน้ำข้างๆ แต่พอกริชเล่มนั้นตกลงไปในสระน้ำนั้น กริชกลับเดินได้วนไปมา เจ้าเมืองตกใจจึงถามช่างทำกริชว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ช่างทำกริชจึงบอกว่าเจ้าเมืองอยากได้กริชไว้ใช้แทงคนไม่ใช่หรือก็นี่ไงถ้าชักกริชเล่มนี้ออกมากริชก็จะต้องได้กินเลือด แต่ที่จริงคือกริชเล่มนั้นลงไปปักหัวป่าช่อนตัวใหญ่ในสระน้ำพอดี จึงหมายถึงว่าถ้ามันออกจากฝักจะต้องได้กินเลือดเพราะเจ้าเมืองบอกว่าจะทำไว้แทงคน”

